บทความเกี่ยวกับไอที

คลื่นดิจิทัลมาแรง ผู้นำและผู้บริหารต้องมีวิสัยทัศน์และเป็นมืออาชีพ

ผู้นำประเทศและผู้นำองค์กรในยุคต่อจากนี้ไปจะได้รับความท้าทายอย่างมาก เนื่องจากเทคโนโลยี AI และ 5G กำลังส่งผลให้กระบวนการทำงานต่างๆ อาชีพที่มีอยู่ รวมทั้งธุรกิจในปัจจุบันในหลายธุรกิจกำลังเสื่อมถอยลง แต่ก็มีโอกาสใหม่ที่กำลังจะเกิดชึ้น เช่น ตำแหน่งงานที่แปลกใหม่รวมทั้งธุรกิจที่แปลกใหม่เกิดขึ้นอย่างมากมาย ดังนั้นหากผู้บริหารประเทศไม่มีความสามารถและไม่เข้าใจในเรื่องนี้ ก็จะนำพาประเทศหมดขีดความสามารถในการแข่งขัน และอาจจะเกิดการเลิกจ้างงานมากมายอย่างแน่นอน
โดยภาคธุรกิจด้านสื่อและบันเทิง ได้เจอกับผลกระทบเป็นลำดับแรกจาก 4G แล้ว ส่วนธุรกิจด้านการเงินการธนาคารจะเป็นลำดับต่อไปที่จะได้รับผลกระทบโดยตรงจาก AI และ 5G จนไปถึงอุตสาหกรรมการผลิตสินค้าก็จะมีผลกระทบอย่างชัดเจนใน 2-3 ปีข้างหน้า
ผู้นำและผู้บริหาร
โดย 5G Americas ได้ทำการศึกษาและคาดการณ์แนวโน้มของ 5G ว่าในช่วงเริ่มแรกที่เปิดให้บริการ อาจยังมีการเชื่อมต่อทั่วโลกไม่ถึง 1 ล้านการเชื่อมต่อ แต่ภายในปี 2020 จะมีการเติบโตอย่างรวดเร็วมาก โดยสามารถเติบโตได้ถึง 37 ล้านการเชื่อมต่อ และจะเติบโตขึ้นประมาณ 4 เท่า เป็น 156 ล้านการเชื่อมต่อในปี 2021 ซึ่งภายในปี 2022 การเชื่อมต่อ 5G จะเกิน 500 ล้านการเชื่อมต่อ และมีการคาดการณ์ว่าภายในปี 2023 การเชื่อมต่อ 5G ทั่วโลกจะมากถึง 1,300 ล้านการเชื่อมต่อ ซึ่งสอดคล้องกับ Ericsson ที่คาดการณ์ว่าภายในปี 2024 จะมีการเชื่อมต่อ 5G มากถึง 1,500 ล้านการเชื่อมต่อ หรือประมาณ 17% ของการเชื่อมต่อเครือข่ายไร้สายทั้งหมด ทั้งนี้เนื่องจากการใช้งานเทคโนโลยีใหม่ๆ อย่างเช่น IoT, VR, 4K, 8K และ AR ที่เป็นตัวขับเคลื่อนที่สำคัญในการทำให้ความต้องการใช้ 5G เพิ่มมากขึ้นอย่างมาก
เทคโนโลยี 5G ที่เชื่อมโยงกับ AI กำลังจะเป็นเทคโนโลยีแห่งอนาคตที่ ทรงอิทธิพลที่สุดเทคโนโลยีหนึ่งในประวัติศาสตร์ของมวลมนุษยชาติ ซึ่งเทคโนโลยี 5G ไม่เพียงแต่ทำให้มนุษย์สามารถดาวน์โหลดข้อมูลขนาดมหาศาลได้ด้วยความเร็วสูงขึ้นอย่างก้าวกระโดดเท่านั้น แต่มันยังทำให้อุปกรณ์และสิ่งของรอบตัวมนุษย์นับหลายพันล้านชิ้น สามารถเชื่อมโยงกันเองและเชื่อมโยงกับมนุษย์ได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่ง จนทำให้มนุษย์สามารถทำงานแบบออนไลน์ ทุกที่ ทุกเวลา ได้แบบเรียวไทม์และมีความชาญฉลาดในการวิเคราะห์ข้อมูลเป็นอย่างยิ่ง จนทำให้ในทศวรรษหน้านับจากนี้ เราจะได้เห็นโรงงานผลิตอัตโนมัติ รถยนต์ที่ขับเคลื่อนด้วยตัวเองและเมืองที่มีการบริหารจัดการที่ชาญฉลาด
5G จะเข้ามาพลิกสถานการณ์ในทุกธุรกิจภายในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า เช่น

(1) อุตสาหกรรมเกมจะพลิกโฉม

5G จะทำให้การเชื่อมต่อของอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ไม่ว่าจะเป็น VR หรือ AR จะเชื่อมต่อกับระบบคลาวด์ (cloud) จนทำให้มิติของเกม การเรียน และการฝึกอบรมเปลี่ยนแปลงไปอย่างหน้ามือเป็นหลังมืออย่างไม่น่าเชื่อ ด้วยความหน่วงเวลาที่ต่ำมากนั้นจะทำให้การควบคุมและสั่งการเป็นไปอย่างเรียลไทม์

(2) การขับเคลื่อนด้วยตัวเอง (autonomous driving) จะเกิดขึ้น

5G จะกลายเป็นโครงสร้างพื้นฐานสำคัญของอุตสาหกรรมยานยนต์ เนื่องจากว่าการเชื่อมต่อกับระบบคลาวด์ การเชื่อมต่อรถยนต์กับรถยนต์ รถยนต์กับสิ่งของ รถยนต์กับมนุษย์ มนุษย์กับสิ่งของ จะปรากฏขึ้นด้วยการแลกเปลี่ยนข้อมูลอย่างเรียลไทม์จนทำให้รถยนต์มองเห็นรถยนต์ และมองเห็นสิ่งรอบข้างได้อย่างเหลือเชื่อ จนคาดการณ์ว่าในปี 2035 ความชัดเจนของยานยนต์ขับเคลื่อนด้วยตัวเองจะปรากฏเป็นการทั่วไป

(3) การผ่าตัดระยะไกล (Remote robotic surgery)

5G จะยกระดับการแพทย์และสาธารณสุข ในรูปแบบการรักษาทางไกล (telehealth) นั่นหมายความว่าในอนาคต การแพทย์จะเข้าถึงผู้คนทั่วโลก ทำให้คุณภาพชีวิตของมนุษยชาติดีขึ้นมาก เนื่องจากเทคโนโลยีจะเชื่อมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญกับผู้ป่วยแม้ว่าจะอยู่คนละสถานที่กันก็ตาม

(4) สายการผลิตมีแต่หุ่นยนต์ (Production-line robotics)

เมื่อการเชื่อมต่อสิ่งต่างๆ รวมไปถึงเซ็นเซอร์เกิดขึ้นด้วยระบบ 5G ก็จะทำให้หุ่นยนต์สามารถเข้ามาแทนแรงงานในสายการผลิตในโรงงานอุตสากรรม ส่งผลกระทบให้โรงงานทำงานแบบอัตโนมัติ ดังนั้น 5G ถือได้ว่าเป็นตัวเปลี่ยนเกมในอุตสาหกรรมต่างๆ ในอนาคตอันใกล้
ผู้นำและผู้บริหาร
ลำดับแรกที่ประเทศไทยจะต้องรีบพัฒนาอย่างเร่งด่วนคือ ระบบการศึกษาที่ทันสมัยต่อการผลิตแรงงานใหม่ที่สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงของโลก เช่น พัฒนาหลักสูตรและเทคโนโลยีการเรียนการสอน เพื่อสร้างแรงงานฝีมือในระดับอาชีวศึกษาให้มีความสอดคล้องกับอุตสากรรมใหม่ สำหรับรูปแบบการศึกษาในมหาวิทยาลัยต้องเปลี่ยนเป็นระบบผสมผสานกายภาพและออนไลน์ที่มีประสิทธิภาพ สามารถเรียนรู้สิ่งใหม่ได้ตลอดเวลา ไม่ขึ้นอยู่กับสถานที่ และต้องเปลี่ยนวิธีการเรียนการสอนไม่ใช่เป็นการสอบ แต่เป็นการประเมินผลทั้งภาคทฤษฎีและการทำโครงการที่ทำให้นักศึกษามีความคิดสร้างสรรค์และทำงานได้จริง อีกทั้งต้องมีการเพิ่มขีดความสามารถในโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัล เพื่อให้ประเทศไทยสามารถเชื่อมโยงกับนวัตกรรมระดับโลกและระบบการค้าระหว่างประเทศได้
ในส่วนของผู้นำและผู้บริหารจะต้องปรับโครงสร้างองค์กรและตัวบุคคลในกลุ่มผู้นำและผู้บริหาร ทั้งระดับประเทศและองค์กร เพื่อให้วิสัยทัศน์ของกลุ่มผู้นำและผู้บริหารสามารถแปลงเป็นยุทธศาสตร์และทำให้เป็นการปฏิบัติที่เกิดผลเป็นรูปธรรม ที่จะสามารถฝ่าด่านดิจิทัลที่ถาโถมอย่างรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ นับตั้งแต่นี้ไปอีกหนึ่งทศวรรษ
ที่มา https://www.it24hrs.com/2018/digital-wave-management-vision/

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

นายกลวัชร  แก้วก่ำ ม.6/10 เลขที่ 8 ผู้สอน อ.ศิริรัตน์ ทองนอก